การสื่อสารข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เทคโนโลยีการสื่อสารมีส่วนช่วยให้การดำเนินงานธุรกิจในปัจจุบันเป็นไปอย่างราบรื่น
ช่วยให้การส่งข้อมูลในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทางโทรสาร โทรศัพท์ อีเมล โทรทัศน์
และอื่นๆ ไปยังจุดหมายที่อยู่ห่างไกลเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว
เทคโนโลยีคมนาคมและการสื่อสารนำมาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนาและปรับปรุงการดำเนินงานทางธุรกิจโดยมีวัตถุประสงค์หลัก 4 ประการ คือ
1. เพื่อการสื่อสารทางธุรกิจที่ดีขึ้น ช่องทางการสื่อสารระหว่างบุคคลมีหลายรูปแบบ
เทคโนโลยีคมนาคมช่วยให้การติดต่อสื่อสารรวดเร็ว ถูกต้อง
2. เพื่อให้ดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยปกติการดำเนินงานทางธุรกิจมักจะมีการใช้งานข้อมูลร่วมกันในแผนกต่างๆ
ขององค์การ เมื่อมีคำสั่งซื้อสินค้าจากลูกค้า ฝ่ายต่างๆ จะจัดการตามกระบวนการทางธุรกิจซึ่งเทคโนโลยีโทรคมนาคมช่วยอำนวยความสะดวกในการสื่อสารใช้งานข้อมูลร่วมกัน
3. เพื่อการกระจายข้อมูลที่ดีขึ้น ด้วยพัฒนาการของเทคโนโลยีคมนาคมที่ก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องช่วยให้รับส่งข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กระทำได้อย่างสะดวก
และจะเรียกใช้ฐานข้อมูลกลางอย่างรวดเร็ว
4. เพื่อการจัดการกระบวนการธุรกิจที่สะดวกขึ้น พัฒนาการทางอินเทอร์เน็ตช่วยในการดำเนินธุรกิจออนไลน์พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งตามไปด้วย
กระบวนการทางธุรกิจอัตโนมัติกระทำด้วยการสนับสนุนของเทคโนโลยีคมนาคมที่ทันสมัย
องค์ประกอบของการสื่อสาร
1. ผู้ส่งข้อมูล (Sender) คือ สิ่งที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูล
ไปยังจุดหมายที่ต้องการ
2. ผู้รับข้อมูล (Receiver) คือ
สิ่งที่ทำหน้าที่รับข้อมูลที่ถูกส่งมาให้
3. ข้อมูล (Data) คือ ข้อมูลที่ผู้ส่งข้อมูลต้องการส่งไปยังผู้รับข้อมูล
ข้อมูลอาจอยู่ในรูปของข้อความ เสียง ภาพเคลื่อนไหว และอื่นๆ
4. สื่อนำข้อมูล (Medium) คือ
สิ่งที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการขนถ่ายข้อมูลจากผู้ส่งข้อมูลไปยังผู้รับข้อมูล
5. โปรโตคอล(Protocol) คือ
กฎหรือวิธีที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อการสื่อสารข้อมูลซึ่งผู้ส่งข้อมูลจะต้องส่งข้อมูลในรูปแบบตามวิธีการสื่อสารที่ตกลงไว้กับผู้รับข้อมูล
จึงจะสามารถสื่อสารข้อมูลกันได้
รูป องค์ประกอบของการสื่อสาร
ตัวอย่างการสื่อสารข้อมูลด้วยโทรศัพท์
ผู้ส่งข้อมูล: ผู้ที่ทำการส่งข้อความในรูปแบบของเสียงรวมถึงตัวเครื่องโทรศัพท์ที่ใช้ในการติดต่อด้วย
ผู้รับข้อมูล:ผู้รับข้อมูล: ผู้ที่ทำการรับข้อความเสียงรวมถึง
ตัวเครื่องโทรศัพท์ที่ใช้ในการรับข้อมูลด้วยข้อมูล:ข่าวสารที่ถูกส่งในการสนทนาระหว่างสองฝ่าย
ในรูปแบบของเสียงสื่อนำข้อมูล: สายโทรศัพท์ ชุมสายโทรศัพท์
โปรโตคอล: ใช้วิธีการแปลงข้อมูลจากสัญญาณเสียงให้อยู่ในรูปของสัญญาณไฟฟ้า
ทำการจัดส่งไปตามสายโทรศัพท์ ผ่านชุมสายโทรศัพท์
จนไปถึงเครื่องโทรศัพท์ปลายทางและทำการแปลงสัญญาณกลับไปอยู่ในรูปแบบของเสียง
จนถึงผู้รับปลายทาง
การใช้เทคโนโลยีการสื่อสาร
= ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์(Electronic
Mail : E-mail)
= โทรสาร(Facsimile หรือ Fax)
= วอยซ์เมล(Voice Mail)
= การประชุมทางไกลอิเล็กทรอนิกส์(Video
Conferencing)
= การระบุตำแหน่งด้วยดาวเทียม(Global
Positioning)
= กรุ๊ปแวร์(Groupware)
= การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์(Electronic
Fund Transfer : EFT)
= การแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์(Electronic
Data Interchange : EDI)
= การระบุลักษณะของวัตถุด้วยคลื่นความถี่วิทยุ(RFID)
ชนิดของสัญญาณข้อมูล
สัญญาณแอนะล็อก (Analog Signal)
เป็นสัญญาณแบบต่อเนื่อง
มีลักษณะเป็นคลื่นไซน์()โดยที่แต่ละคลื่นจะมีความถี่และความเข้มของสัญญาณที่ต่างกัน
เมื่อนำสัญญาณข้อมูลเหล่านี้มาผ่านอุปกรณ์รับสัญญาณและแปลงสัญญาณก็จะได้ข้อมูลที่ต้องการได้
ตัวอย่าง คือ การส่งข้อมูลผ่านระบบโทรศัพท์
รูป สัญญาณแอนะล็อก
เฮิรตซ์ () คือ หน่วยวัดความถี่ของสัญญาณข้อมูลแบบแอนะล็อก
วิธีวัดความถี่จะนับจำนวนรอบของสัญญาณที่เกิดขึ้นภายใน 1 วินาที เช่น สัญญาณข้อมูลที่มีความถี่ 60 Hz หมายถึง 1 วินาทีสัญญาณมีการเปลี่ยนแปลงระดับสัญญาณ 60 รอบ(ขึ้นและลงนับเป็น 1 รอบ)
สัญญาณดิจิทัล (Digital Signal)
สัญญาณดิจิทัล เป็นสัญญาณแบบไม่ต่อเนื่อง
รูปแบบของสัญญาณมีความเปลี่ยนแปลงที่ไม่ปะติดต่ออย่างสัญญาณแอนะล็อก
ในการสื่อสารด้วยสัญญาณดิจิทัล ข้อมูลในคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นเลขฐานสอง(0และ1)จะถูกแทนสัญญาณดิจิทัล เป็นวิธีแทนบิตข้อมูล 0 ด้วยสัญญาณไฟฟ้าที่เป็นกลางและบิตข้อมูล 1 ด้วยสัญญาณไฟฟ้าที่เป็นบวก
รูป สัญญาณดิจิทัล
Bit Rate เป็นอัตราความเร็วในการส่งข้อมูลแบบดิจิทัล
วิธีวัดความเร็วจะนับจำนวนบิตข้อมูลที่ส่งได้ในช่วงระยะเวลา 1 วินาที เช่น 14,400
bps หมายถึง
มีความเร็วในการส่งข้อมูลจำนวน14,400 บิตในระยะเวลา 1 วินาที
รูป
สัญญาณดิจิทัล
โมเด็ม(Modulator DEModulator หรือ MODEM)โมเด็ม(Modem) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณดิจิทัลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณแอนะล็อก
เรียกขั้นตอนนี้ว่า มอดูเลชัน(Demodulation)และทำหน้าที่แปลงสัญญาณแอนะล็อกให้เป็นสัญญาณดิจิทัลเพื่อคอมพิวเตอร์จะได้นำไปประมวลผล
ขั้นตอนนี้เรียกว่า ดีมอดูเลชัน(Demodulation)
ทิศทางการส่งข้อมูล(Transmission Mode)
- การส่งข้อมูลแบบทิศทางเดียว(Simplex
Transmission)
- การส่งข้อมูลแบบสองทิศทางสลับกัน(Half-Duplex
Transmission)
- การส่งข้อมูลแบบสองทิศทางพร้อมกัน(Full-Duplex
Transmission)
รูป ทิศทางการส่งข้อมูล
ตัวกลางการสื่อสาร
ตัวกลางการสื่อสาร
เป็นสื่อที่ใช้ต่อเชื่อมการสื่อสารระหว่างผู้ส่งและผู้รับข้อมูล
ตัวกลางที่ใช้ในการสื่อสารแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สื่อนำข้อมูลแบบมีสาย
(Wired Media)
สื่อข้อมูลแบบมีสายที่นิยมใช้ มี 3 ชนิด
- สายคู่บิดเกลียว (Twisted-Pair
Cable)
-สายคู่บิดเกลียว เป็นสายสัญญาณนำข้อมูลไฟฟ้า
สายแต่ละเส้นมีลักษณะคล้ายสายไฟทั่วไป จำนวนสายจะมีเป็นคู่ เช่น 2, 4 หรือ 6 เส้น แต่ละคู่จะมีการพันบิดกันเป็นเกลียว
การบิดเกลียวนี้จะช่วยลดสัญญาณรบกวนที่เกิดขึ้นในการส่งข้อมูล
ทำให้ส่งข้อมูลได้ไกลกว่าปกติ และยังมีความถี่ในการส่งข้อมูลประมาณ 100
Hz ถึง 5 MHz ลักษณะของสายสัญญาณชนิดนี้มี 2 ลักษณะ คือ สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีชั้นโลหะห่อหุ้ม(Unshielded
Twisted-Pair หรือ UTP) และ สายคู่บิดเกลียแบบมีชั้นโลหะห่อหุ้ม(Shielded
Twisted-Pair หรือ STP)
รูป สายคู่บิดเกลียวแบบไม่มีชั้นโลหะห่อหุ้ม
- สายโคแอกเชียล (Coaxial Cable)
สายโคแอกเชียล เป็นสายสัญญาณนำข้อมูลไฟฟ้า
มีความถี่ในการส่งข้อมูลประมาณ 100 MHz ถึง 500 MHz สายโคแอกเชียลมีความเร็วในการส่งข้อมูลและราคาสูงกว่าสายคู่บิดเกลียว
ลักษณะของสายโคแอกเชียลเป็นสายนำสัญญาณที่มีฉนวนหุ้มเป็นชั้นๆ
หลายชั้นสลับกับตัวนำโลหะ ตัวนำโลหะชั้นในทำหน้าที่ส่งสัญญาณ
ส่วนตัวนำโลหะชั้นนอกทำหน้าที่เป็นสายดิน และเป็นเกราะป้องกันสัญญาณรบกวนจากภายนอก
ทำให้สัญญาณรบกวนตัวนำชั้นในน้อย จึงส่งข้อมูลได้ในระยะไกล
รูป สายโคแอกเชียล
- สายใยแก้วนำแสง (Optical Fiber Cable)
สายสัญญาณทำจากใยแก้วหรือสารนำแสงห่อหุ้มด้วยวัสดุป้องกันแสง
มีความเร็วในการส่งสูงเท่ากับความเร็วแสง สามารถใช้ในการส่งข้อมูลที่มีความถี่สูงได้
สัญญาณที่ส่งผ่านสายใยแก้วนำแสง คือแสง และสัญญาณรบกวนจากภายนอกมีเพียงอย่างเดียว
คือแสงจากภายนอก ดังนั้นสายใยแก้วนำแสงที่มีสภาพดีจะมีสัญญาณรบกวนน้อยมาก
สายใยแก้วนำแสงมีราคาค่อนข้างสูงและดูแลรักษายาก
จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมสำหรับการใช้งานสื่อสารทั่วๆ ไปในองค์การขนาดเล็ก
หรือในการสื่อสารที่ไม่ต้องการความเร็วสูง
รูป สายใยแก้วนำแสง
2. สื่อนำข้อมูลแบบไร้สาย (Wireless Media)
การสื่อสารข้อมูลแบบไร้สาย
จะใช้อากาศเป็นตัวกลางของการสื่อสาร ลักษณะของการสื่อสารข้อมูลประเภทนี้ เช่น
- แสงอินฟราเรด(Infrared)
อินฟราเรด
เป็นการสื่อสารข้อมูลโดยใช้แสงอินฟราเรดเป็นสื่อกลางโดยในการส่งข้อมูลจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ส่งข้อมูลและอุปกรณ์ที่รับข้อมูล
ซึ่งคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ในปัจจุบัน เช่น เมาส์ เครื่องพิมพ์ และกล้องดิจิทัล
ซึ่งสื่อประเภทนี้นิยมใช้สำหรับการสื่อสารข้อมูลระยะใกล้
รูป การสื่อสารข้อมูลด้วยแสงอินฟราเรด
- สัญญาณวิทยุ(Radio Wave)
สัญญาณวิทยุ
เป็นสื่อนำข้อมูลแบบไร้สาย(Wireless Media) ที่มีการส่งข้อมูลเป็นสัญญาณคลื่นวิทยุไปในอากาศไปยังตัวรับสัญญาณ
จึงทำให้ถูกสภาพแวดล้อมรบกวนข้อมูลได้ในช่วงที่สภาพอากาศไม่ดีการส่งสัญญาณวิธีนี้จะช่วยส่งข้อมูลในระยะทางไกล
หรือในสภาพภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยในการใช้สายส่งข้อมูล
- ไมโครเวฟภาคพื้นดิน(Terrestrial
Microwave)
ไมโครเวฟภาคพื้นดิน
เป็นการสื่อสารโดยใช้สื่อนำข้อมูลแบบไร้สายอีกประเภทหนึ่ง
การสื่อสารประเภทนี้จะมีเสาส่งสัญญาณไมโครเวฟที่อยู่ห่างๆ กัน
ทำการส่งข้อมูลไปยังอากาศไปยังเสารับข้อมูล ในกรณีที่ระยะทางห่างกันมาก
หรือมีสิ่งกีดขวางสัญญาณ จะต้องใช้สถานีทวนสัญญาณ(Repeater Station) เพื่อส่งสัญญาณต่อเป็นช่วงๆ
การสื่อสารประเภทนี้สามารถส่งข้อมูลปริมาณมากได้
แต่ในบ้างครั้งอาจถูกสภาพแวดล้อมรบกวนได้เช่นกัน โดยเฉพาะช่วงฝนตกหรือมีพายุ
จะทำให้การส่งข้อมูลทำได้ไม่ดีนัก
รูป เสาส่งสัญญาณไมโครเวฟ
- การสื่อสารผ่านดาวเทียม(Satellite
Communication)
การสื่อสารผ่านดาวเทียม
เป็นการสื่อสารจากพื้นโลกที่มีการส่งข้อมูลไปยังดาวเทียม
โดนดาวเทียมจะทำหน้าที่เป็นสถานีทวนสัญญาณ
เพื่อจัดส่งสัญญาณต่อไปยังสถานีภาคพื้นดินอื่นๆ ระยะทางจากโลกถึงดาวเทียมประมาณ22,000 ไมล์ ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมาก
ทำให้ข้อมูลที่ส่งไปยังดาวเทียมเกิดความล่าช้าขึ้นได้
โดยเฉลี่ยความล่าช้าที่เกิดขึ้นมีค่าประมาณ 2 วินาที
การส่งข้อมูลวิธีนี้จะทำให้ส่งข้อมูลที่มีระยะทางไกลมากๆ ได้
การสื่อสารผ่านดาวเทียมนิยมใช้สำหรับการสื่อสารระหว่างประเทศรูป
การสื่อสารผ่านดาวเทียม
หลักเกณฑ์การพิจารณาเลือกสื่อนำข้อมูล
1.ราคา
2.ความเร็ว
3.ระยะทาง
4.สัญญาณรบกวนที่อาจจะเกิดขึ้น
5.ความปลอดภัยของข้อมูล
มาตรฐานเครือข่ายไร้สาย(Wireless Networking Protocols)
- บลูทูธ(Bluetooth)
สัญญาณวิทยุ
เป็นสื่อนำข้อมูลแบบไร้สาย(Wireless Media) ที่มีการส่งข้อมูลเป็นสัญญาณคลื่นวิทยุไปในอากาศไปยังตัวรับสัญญาณ
จึงทำให้ถูกสภาพแวดล้อมรบกวนข้อมูลได้ในช่วงที่สภาพอากาศไม่ดีการส่งสัญญาณวิธีนี้จะช่วยส่งข้อมูลในระยะทางไกล
หรือในสภาพภูมิประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยในการใช้สายส่งข้อมูล
รูป ตัวอย่างบลูทูธ
- ไว-ไฟ(Wi-Fi)
ไว-ไฟ
เป็นเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูงที่นิยมใช้กันทั่วโลก
ใช้สัญญาณวิทยุในการรับส่งข้อมูลความเร็วสูงผ่านเครือข่ายไร้สายจากบริเวณที่มีการติดตั้งแอกเซสพอยท์(Access
Point) ไปยังอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อ เช่น โทรศัพท์มือถือ พีดีเอ และโน๊ตบุ๊ค
เป็นต้น
รูป ตัวอย่างไว-ไฟ
- ไว-แมกซ์(Wi-MAX)
ไว-แมกซ์
เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายระดับบรอดแบรนด์บนมาตรฐาน IEEE 802.16 โดยสามารถส่งข้อมูลกระจายสัญญาณจากจุดหนึ่งไปยังหลายจุด (Point
to Multipointได้พร้อมๆ กัน
และสามารถส่งข้อมูลผ่านสิ่งกีดขวางได้เป็นอย่างดี
ปัจจุบันจึงนิยมใช้งานกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่มีรัศมีทำการกว้างถึงประมาณ50 กิโลเมตร
รูป ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ไวแม็กซ์
เครือข่ายคอมพิวเตอร์
-จำนวนของเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในเครือข่าย
-สื่อนำข้อมูล(Transmission Medium)
-เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์(Hardware)
-โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการสื่อสารข้อมูล(Software)
โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์(Topology)
1. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบบัส(Bus
Topology)
2. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบวงแหวน(Ring
Topology)
3. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบดาว(Star
Topology)
4. โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบเมช(Mesh
Topology)
5 โครงสร้างเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบผสม(Hybrid
Topology)
ประเภทของเครื่องคอมพิวเตอร์ภายในเครือข่ายคอมพิวเตอร์
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
จำแนกได้เป็น 4 ประเภท คือ
1. เซิร์ฟเวอร์(Server)
เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ให้บริการต่างๆ
โดยแต่ละเครือข่ายคอมพิวเตอร์สามารถมีเครื่องคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ได้หลายเครื่องตามต้องการ
-ไฟลเซิร์ฟเวอร์(File Server)
-ดาต้าเบสเซิร์ฟเวอร์(Database
Server)
-พรินต์เซิร์ฟเวอร์(Print
Server)
-อินเทอร์เน็ตเซิร์ฟเวอร์(Internet
Server)
-เว็บเซิร์ฟเวอร์(Web Server)
-เมลเซิร์ฟเวอร์(Mail Server)
-ระบบโดเมนเนม(Domain Name System Server)
2. เวิร์กสเตชัน(Workstation)
เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วๆ ไปที่สามารถทำการประมวลผลข้อมูลต่างๆ
ได้
3.ไคลเอนต์(Client)
เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีการเรียกใช้ข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์
4.เทอร์มินัล(Terminal)
เป็นอุปกรณ์ที่ประกอบด้วยจอภาพ แป้นพิมพ์
และอุปกรณ์อื่นๆ
เทอร์มินัลไม่สามารถประมวลผลข้อมูลได้ด้วยตัวเองแต่ใช้การสื่อสารข้อมูลกับ
เซิร์ฟเวอร์และใช้เซิร์ฟเวอร์ทำการประมวลผลข้อมูลพร้อมทั้งส่งข้อมูลมาปรากฏบนจอภาพได้
รูปแบบการประมวลผลข้อมูลในเครือข่ายคอมพิวเตอร์(Computing Architecture)
1.การประมวลผลข้อมูลที่ศูนย์กลาง
2.การประมวลผลข้อมูลแบบไคลเอนต์/เซิร์ฟเวอร์
ชนิดของเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ใช้ขนาดทางกายภาพของเครือข่ายเป็นเกณฑ์ แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทดังนี้
1. PAN ( PERSONAL AREA NETWORK) เครือข่ายแบบบุคคล
-เชื่อมโยง อุปกรณ์การสื่อสารหลายๆ เครื่องเข้าด้วยกัน
-ระยะทางการเชื่อมต่อ ไม่เกิน 1 เมตร
-ความเร็ว ประมาณ 10 Mbps
-ใช้สื่อ IrDA Port, Bluetooth, Wireless
-เชื่อมโยง อุปกรณ์การสื่อสารหลายๆ เครื่องเข้าด้วยกัน
-ระยะทางการเชื่อมต่อ ไม่เกิน 1 เมตร
-ความเร็ว ประมาณ 10 Mbps
-ใช้สื่อ IrDA Port, Bluetooth, Wireless
2.LAN ( LOCAL AREA NETWORK) เครือข่ายแบบท้องถิ่น
-เชื่อมโยง คอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องเข้าด้วยกันติดต่อ เชื่อมโยงในระยะใกล้ เช่น ภายในตึก องค์กร สำนักงาน
-ระยะทางการเชื่อมต่อ ไม่เกิน 10 กิโลเมตร
-ความเร็ว ประมาณ 10 – 100 Mbps
-ใช้สื่อ Coaxial, UTP, STP, Fiber Optical, Wireless
3. MAN (METROPOLITAN AREA NETWORK)
-เชื่อมโยงเครือข่ายที่อยู่ห่างไกล เช่นติดต่อข้ามจังหวัด
-ระยะทาง 100 กิโลเมตร
-ความเร็ว 1 Gbps
-ใช้สื่อ Fiber Optical, Microware, Satellite
4. WAN (WIDE AREA NETWORK)
-เชื่อมโยงเครือข่ายที่อยู่ห่างไกลมาก ครอบคลุมทั่วโลก
-ความเร็ว 10 Gbps
-ใช้สื่อ Microware, Satellite
ที่มาจาก : guru.google.co.th